Knowledge Sharing of My Experience

     ปัญหาที่เกิดขึ้นคือเวลาที่เครื่อง Server เดินไม่ตรงกับความเป็นจริง ดังนั้นเราสามารถเซ็ตได้ว่าให้ Server ไปเชื่อมต่อกับ Server ที่ใช้ในการเทียบเวลาได้ โดยที่มีได้หลายวิธี บางรายติดตั้งโปรแกรมและให้โปรแกรมเป็นตัวเชื่อมต่อออกไปเทียบเวลากับภายนอกก็ได้ แต่ในที่นี้จะใช้ Command ในการเทียบเวลากับ Server ภายนอก Command Prompt :: net time /querysntp >>> ใช้ในการตรวจสอบว่า ณ ปัจจุบัน Server เทียบเวลากับที่ไหนอยู่ net stop w32time >>> ใช้ในการหยุด Timer Service net start w32time >>> ใช้ในการเริ่มใช้งาน Time Service net /setsntp:servername >>> ใช้ในการเซ็ตให้ Server เข้าไปเทียบเวลากับ Server ตัวไหน อาทิเช่น clock.nectec.or.th หรือ clock2.nectec.or.th เป็นต้น

     การแสดงรูปภาพที่เก็บข้อมูลอยู่ในฐานข้อมูลนั้น สามารถนำมาแสดงได้หลายรูปแบบมาก แต่ในที่นี้ตามประสบการณ์ที่เคยเขียนมานั้น เป็นวิธีที่สั้นที่สุด และน่าจะเข้าใจได้ง่ายมากที่สุดแบบนึงครับ 1. สร้างไฟล์ ConnectDB.aspx และลากเอา Image Control มาไว้ที่หน้าเว็บ โดยที่ Image Control Property ดังนี้       - ID = Image1       - ImageUrl = ShowImage.aspx  และทำการเขียนติดต่อกับฐานข้อมูลเพื่อไปนำเอาข้อมูลรูปภาพออกมาเอามาเก็บไว้ใน Session Protected Sub Page_Load( ByVal sender As Object , ByVal e As System.EventArgs) Handles Me .Load    Sql = "select Picture from tbl_Photo where photo_ID = 'u4782' "        Da = New SqlDataAdapter(Sql, Conn)    Da.Fill(ds, "tbl" )    Session( "picture" ) = ds.Tables( "tbl" ).Rows(0).Item( "picture" ) End Sub Class 2. สร้างไฟล์ ShowImage.aspx ที่ใช้ในการเขียนข้อมูล Image ที่ได้รับออกมาเป็นรูปภาพ Protected Sub Page_PreLoad( ByVal sender As Object , ByVal e As System.EventArgs) Han

    การเขียนเว็บไซด์เคยสับสนหรือเปล่า ว่าเอ๊!!! ตอนนี้เราอยู่ที่เมนูไหนหว่า?? เมื่อกี้คลิ๊กจาเมนูไหนมาหว่า?? ดังนั้น Control ที่ชื่อว่า SiteMapPath ช่วยคุณได้ดังนี้ เรามาดูวิธีสร้างกันเลยดีกว่า 1. ทำการสร้างเมนู และลิงค์ตามความต้องการ เอาไว้ที่ MasterPage 2. ทำการเพิ่มไฟล์ (Add New Item) ที่ชื่อว่า Site Map เข้ามาที่เว็บไซด์ และตั้งชื่อว่า Web.sitemap ตามนี้เลย 3. ทำการแก้ไขไฟล์ Web.sitemap โดยแก้ไขให้ทำการอ้างอิงกับ Menu ที่สร้างเอาไว้ในข้อที่ 1. 4. ทำการเพิ่ม Control ที่ชื่อว่า SiteMapPath และ SiteMapDataSource

การสร้าง Web Service 1. สร้าง WebSite ใหม่ขึ้นมา แล้วให้เลือกเป็น ASP.NET Web Service 2. ตั้งชื่อ Class ตามใจชอบ ของเดิมๆคือ Public Class Service (สมมติแก้เป็น MyServiceClass) 3. ตั้งชื่อ Function ตามใจชอบ (แต่ให้เข้าใจล่ะกันไม่งั้นนานๆเข้างงตาย ^^") ของเดิมๆคือ     Public Function HelloWorld() As String         Return "Hello World Ja."     End Function 4. เราก็เริ่มเขียนโปรแกรมใน Function ได้เลย แต่อย่าลืมต้อง Return ด้วยเพราะว่ามันคือ Function นั่นเอง 5. การเขียน Web Service ของเราเสร็จสิ้นแล้ว ง่ายม่ะ อิอิ (อย่าลืม Upload ไปที่ WebServer ล่ะ) 6. สมมติคือ http://webserver/helloworld/ การเรียกใช้งาน Web Service 1. สร้าง WebSite ใหม่ขึ้นมา แล้วให้เลือกเป็น ASP.NET Web Site 2. ไปที่หน้าต่าง Solution Explorer แล้วคลิ๊กขวาเลือก Add Web Reference... 3. พิมพ์ URL ตามที่เราได้ทำการ Upload Web Service จะได้ http://webserver/helloworld/service.asmx และทำการแก้ไข Web reference name ตามใจชอบ (สมมติเป็น WServices) แล้วกด Add Reference 4. สร้างตัวแปรเพื่ออ้างอิง Web S

1. ทำการ Imports Component ที่ต้องการใช้งาน Imports System.Data Imports System.Data.SqlClient 2. ประกาศข้อมูลการติดต่อฐานข้อมูลในไฟล์ web.config connectionStrings      add name="conn" connectionString="Data Source=SERVER_NAME;Initial Catalog=DB_NAME;Persist Security Info=True;User ID=userid;Password=password" providerName="System.Data.SqlClient"/ /connectionStrings 3. ประกาศตัวแปรที่จำเป็นต้องใช้งาน Public Conn As New SqlConnection(ConfigurationManager.ConnectionStrings("conn").ConnectionString) Public Sql As String Public Da As SqlDataAdapter Public ds As New DataSet Public SqlTran As SqlTransaction Public drow As DataRow Public Ocb As SqlCommandBuilder Public Cmd As SqlCommand 4. เปิดการใช้งาน Transaction ก่อน Conn.Open() SqlTran = Conn.BeginTransaction 5. สร้าง DataSet เพื่อใช้ในการเพิ่มข้อมูล Sql = " Insert Into Table1(id,name) Values ('1','John') " Cmd = New SqlCommand(Sql,Conn) Cmd.Transac

Shutdown Computer Case 1. system.Diagnostics.Process.Start("shutdown","-s -t -m \\10.10.40.54") Case 2. Dim si As New System.Diagnostics.Process si.StartInfo.WorkingDirectory = "c:\\" si.StartInfo.UseShellExecute = False si.StartInfo.FileName = "cmd.exe" si.StartInfo.Arguments = "/c shutdown -s -m \\" si.StartInfo.CreateNoWindow = True si.StartInfo.RedirectStandardInput = True si.StartInfo.RedirectStandardOutput = True si.StartInfo.RedirectStandardError = True si.Start() si.Close()

ใส่ในไฟล์ a.aspx Tag ของ asp:button OnClientClick ="javascript:return confirm('Are you sure?');"

1. ทำการ Imports Component ที่ต้องการใช้งาน Imports System.Data Imports System.Data.SqlClient 2. ประกาศข้อมูลการติดต่อฐานข้อมูลในไฟล์ web.config connectionStrings      add name="conn" connectionString="Data Source=SERVER_NAME;Initial Catalog=DB_NAME;Persist Security Info=True;User ID=userid;Password=password" providerName="System.Data.SqlClient"/ /connectionStrings 3. ประกาศตัวแปรที่จำเป็นต้องใช้งาน Public Conn As New SqlConnection(ConfigurationManager.ConnectionStrings("conn").ConnectionString) Public Sql As String Public Da As SqlDataAdapter Public ds As New DataSet Public SqlTran As SqlTransaction Public drow As DataRow Public Ocb As SqlCommandBuilder 4. เปิดการใช้งาน Transaction ก่อน Conn.Open() SqlTran = Conn.BeginTransaction 5. สร้าง DataSet เพื่อใช้ในการเพิ่มข้อมูล Sql = " SELECT TOP 1 * FROM table1 " Da = New SqlDataAdapter(Sql, Conn) Da.SelectCommand.Transaction = SqlTran Da.Fill(ds, "ds_table1&qu

1. ไปที่ Winscp แล้วไปที่ etc/syswatch 2. เพิ่มคำสั่งดังนี้เข้าไป โดยต่อท้ายเข้ากับคำสิ่งเดิมที่ Comment ไว้     retries=6     failedinterval=30     ping_servers=203.144.207.49,8.8.8.8

Function row_number() เป็นฟังก์ชันที่ใช้ในการนับแถวของข้อมูลที่ไม่ซ้ำกัน ข้อมูลตัวอย่างจริงๆ ยังไม่มี Column a เพิ่มเข้ามาทีหลังจาก Function row_number() ความต้องการแสดงข้อมูล      ต้องการให้แสดงข้อมูลรวมของแต่ละ Series และต้องการดูจำนวนเลขที่ของใบ (Number) ว่ามีข้อมูลกี่ใบ โดยที่ทำการเขียน SQL ดังนี้   select series, sum(amount) sum_amount, sum(a) sum_a from      (select *, case when row_number() OVER (PARTITION BY Number,Series ORDER BY Number,Series) = 1 then 1 else 0 end as a from testdb..table_1) as t group by series

เป็นการเรียกใช้คำสั่ง Ping ใน Command Prompt นั่นเอง Dim MyPing As Boolean = My.Computer.Network.Ping("IP Address")

1. เปิด notepad ขึ้นมาครับ แล้วพิมพ์ข้อความล่างนี่ลงไป แล้วเซฟเป็น .bat นะครับ @echo off for /f "tokens=16 delims=." %%i in ('ipconfig ^find "IP Address"') do set IP=%%i set /a dotaport=6000+%IP% ECHO Setting PortDota CDKey %dotaport% reg add "hkcu\Software\Blizzard Entertainment\Warcraft III\Gameplay" /v "netgameport" /t reg_dword /d "%dotaport%" /f :Port Fifa Online 2 ECHO Setting Port Fifa Online 2 %dotaport% echo port=%dotaport% > "d:\FifaOnline2\Port.ini" 2. ไฟล์เดียวใช้ได้ทุกเครื่องครับ.. ไปดับเบิ้ลคลิ๊กใช้งานที่เครื่องนั้นๆเลย แป๊บเดียวเสร็จเช่นกัน 3. ตรงเลข 6000 สีน้ำเงิน คือเลขพอร์ทเริ่มต้นที่ต้องการนะครับ บางคนอาจเปลี่ยนเป็น 7000 4. bat file นี้จะทำการหาเลขท้ายของ ip เครื่องลูกให้เองนะครับ แล้วเอามาบวกเพิ่มเป็นเลขพอร์ทเพื่อเซ็ตให้กับตัวเกมเราอ่ะนะครับ.. **แนวคิด คือ สมมติมี Computer 30 เครื่อง IP 192.168.1.1 - 192.168.1.30 เอาตัวเลขจากข้อ 4.มาใช้ เช่นใช้เป็น 7000 จะได้เบอร์ Port ดังนี

net config server /autodisconnect:1 Default = 15   หมายเหตุ ใช้ในกรณีที่ Windows XP Shared ให้ผู้ใช้งานแต่ความสามารถของ Windows XP รองรับได้แค่ 10 Session เท่านั้น ดังนั้นให้จำกัดเวลาให้ Session น้อยลงเหลือเพียง 1 นาทีพอ เพื่อช่วยให้ใช้งานได้มากขึ้น

1. เปิดโปรแกรม Notepad แล้วพิมพ์ดังนี้ [Shell] Command=2 IconFile=explorer.exe,3 [Taskbar] Command=ToggleDesktop 2. เซฟให้เป็น Quick Lunch.scf

1. สร้างไฟล์ Batch เช่น c:\deltree.bat โดยมีข้อมูลดังนี้ @echo off if {%1}=={} @echo Syntax: DelTree Folder&goto :EOF if not exist %1 @echo Syntax: DelTree Folder - Folder %1 does not exist.&goto :EOF pushd %1 if %ERRORLEVEL% NEQ 0 @echo Syntax: DelTree Folder - Folder %1 does not exist.&goto :EOF del /q /f "*.*" for /f "Tokens=*" %%i in ('dir %1 /B /A /AD') do rd /s /q "%%i" popd 2. วิธีการใช้งาน ให้ไปเรียกที่ Command c:\deltree.bat "C:\tmp\test" จะทำการลบข้อมูลทั้งหมดเหมือนการใช้ deltree บน dos เลย แต่จะไม่ลบ Folder Test ทิ้ง

C:\>ipconfig /flushdns Windows IP Configuration Successfully flushed the DNS Resolver Cache. C:\>ipconfig /registerdns Windows IP Configuration Registration of the DNS resource records for all adapters of this computer has been initiated. Any errors will be reported in the Event Viewer in 15 minutes..

การ Ghost ผ่านระบบเครือข่าย (ตอนที่ 1/2: สร้าง Boot CD) http://thaiwinadmin.blogspot.com/2008/03/kb2008094.html การ Ghost ผ่านระบบเครือข่าย (ตอนที่ 2/2: GhostCast Server) http://thaiwinadmin.blogspot.com/2008/03/kb2008107.html

มี tool ตัวใหม่สำหรับการ install XP จาก FlashDrive ชื่อ - Mirror 1 : USB_MultiBoot_10.zip - Mirror 2 : USB_MultiBoot_10.zip tool ใหม่นี้ สามารถลง XP ที่ถูกโมดิฟาย หรือ non-standard ได้ ผมทดสอบแล้วกับ Dark Edition ใช้ได้ไม่มีปัญหา สะดวก รวดเร็ว พกพาง่าย ( ไดร์เวอร์ครบเลยครับ ลง Dark ของคุณ catalog ) ------------------------------------- วิธีการทำก็เหมือน ๆ กับภาพด้านบนนะครับ เพียงแค่เราเปลี่ยน tool เท่านั้นเอง เป็นเวอร์ชั่น 10 ตัวใหม่ล่าสุด โดยวิธีการเมื่อทำเสร็จแล้ว - boot ผ่าน FlashDrive รอบแรก เลือกข้อ 1 (เพื่อเข้า text-mode หน้าจอสีฟ้า ๆ เพื่อเลือก partition ในการ format และ install) - รอบ 2 เลือกข้อ 2 (เพื่อเข้า GUI-mode ในการติดตั้งวินโดวส์) - รอบ 3 เลือกช้อ 2 สะดวกมาก ๆ ครับ ไม่ต้องถอดประกอบ CD-ROM บ่อย ๆ อีกแล้ว (เพราะบางครั้งเครื่องลูกค้าเอามา ไม่มี CD-ROM) Credit : http://www.zealzonecafe.com/board/index.php?topic=86.0

เตรียมอุปกรณ์ ========= - Flash Drive ขนาด 1 GB - แผ่น Windows XP ที่ยังไม่ถูกตัดต่อพันธุกรรมทั้งหลาย, พวก XP 2008 หรือ Dark ทั้งหลายนี่ไม่แนะนำ (เพราะอาจจะไม่ได้ผล แต่ลองดูก็ได้ครับ ถ้าอยากทดสอบ) - คอมพิวเตอร์ที่สามารถ Boot ผ่าน USB ได้ - โปรแกรม flash drive prep.zip 483.83 KB ถ้ามีครบแล้ว ก็เริ่มกันเลย ขั้นตอนการติดตั้ง =========== 1. ใส่แผ่น Windows XP และเสียบ Flash Drive เตรียมไว้ *** ถ้ามีข้อมูลใน Flash Drive ให้เก็บไว้ที่อื่นก่อนนะครับ เพราะต้องทำการ Format Flash Drive ด้วย *** 2. โหลดไฟล์ PE to USB จากนั้น extract ไว้ที่ไหนก็ได้ จะได้ folder มา 2 อันคือ bootsect และ usb_prep8 *** ในตัวอย่างนี้จะทำการ extract ไฟล์ไปไว้ในไดรว์ D: นะครับ*** 3. ไปที่ Floder usb_prep8 double click ที่ไฟล์ usb_prep8.cmd *** ห้ามปิด Dos Box จนกว่าจะเสร็จทุกขั้นตอนนะครับ (ย้ำนะครับว่า อย่าปิด!!!!! จนกว่าจะเสร็จสิ้นทุกกระบวนการ เพราะต้องใช้ต่อ) 4. กดปุ่มอะไรก็ได้ เบาๆ ปุ่มนึง โปรแกรม PE to USB จะถูกเรียกขึ้นมา เลือก Drive ของ USB ที่เราต้องการ จากนั้นกด Start แล้วรอจน Format เสร็จ

Windows XP - USB Stick Edition - Only 60 MB ขนาดไฟล์เล็ก เอาไว้พกพาใส่ใน Flash Drive ใช้บูตเครื่องได้ Windows XP ขนาดไฟล์เล็ก เอาไว้พกพาใส่ใน Flash Drive ใช้บูตเครื่องได้ มีโปรแกรมต่างๆ สำหรับแก้ปัญหาคอมเพียบ เหมาะกับเอาไว้เผื่อคอมเจ๊ง แล้วเปิดเครื่องไม่ได้ หรือเอาไปซ่อมคอมให้เพื่อนๆ ก็ได้ พอแตกไฟล์ใส่ใน Flash Drive แล้วมีขนาด 152 MB ส่วนวิธีใช้อ่านในไฟล์ "Readme.txt" วิธีลงนะครับ สมมุติว่า harddisk= c: usb flash= e: 1. เมื่อแตกไฟล์เสร็จแล้ว ทำการ move folder xpusb มาที่ c: 2. format usb flash (quick format FAT32) 3. มาที่ c:\xpusb ดับเบิ้ลคลิ๊ก livexp.bat มันจะขึ้น menu ใน cmd 4. กด 1 enter เลือก source ใส่ c:\xpusbINSTALLDIR แล้วกด Enter 5. กด 2 enter เลือก target ใส่ e: แล้วกด Enter 6. ถ้าถูกต้อง จะมีเมนูข้อ 5 ขึ้นมา 7. กด 5 แล้วกด Enter เลือก 1 แล้วกด Enter โปรแกรมจะ ทำ bootsector ที่ usb flash และ copy ไฟล์ พอเสร็จ ก็กด any key ออกมา เพียงเท่านี้ก็สามารถนำไปใช้ได้ แล้วก็อย่าลืมแก้ bios ให้ boot จาก usb removeble ด้วยนะครับ Credit : http://www.zealzo

ต้องการให้ Windows สามารถเห็น Memory ได้มากกว่า 2GB ให้ทำการแก้ไขไฟล์ boot.ini โดยเพิ่มด้านหลัง /3GB /PAE Example [boot loader] timeout=30 default=multi(0)disk(0)rdisk(0)partition(1)\WINDOWS [operating systems] multi(0)disk(0)rdisk(0)partition(1)\WINDOWS="Windows Server 2003, Enterprise" /noexecute=optout /fastdetect /PAE

1. นำไฟล์ fixntldriso.zip ที่เป็น iso เขียนเป็น CD เพื่อใช้ในการ boot เข้า Windows 2. เมื่อทำการ boot ผ่าน CD-Rom แล้ว ให้เลือกหัวข้อแรก 3. เมื่อเข้า Windows มาแล้วให้ทำการ Copy Files ทั้ง 3 ไฟล์ไปไว้ที่ C:\ ดังนี้ boot.ini, ntldr, and ntdetect.com 4. ให้ทำการแก้ไขไฟล์ boot.ini ให้เป็นดังนี้ [boot loader] timeout=30 default=multi(0)disk(0)rdisk(0)partition(1)\WINDOWS [operating systems] multi(0)disk(0)rdisk(0)partition(1)\WINDOWS="Microsoft Windows XP Professional" /noexecute=optin /fastdetect

Finder > Menu Go > Connect to Server > smb://ip-address

MAC OS 10.5.2 ---- Finder > Application > Directory Utility Mac OS 10.4.10 ----- Finder > Application > Utility > Directory Access 1. ปลดล็อคที่รูปกุญแจ (Username: admin, Password=[password or formula]) 2. กดปุ่มเพิ่ม Service ที่เครื่องหมาย + 3. เลือก Active Directory แล้วใส่ข้อมูลดังนี้ - Domain = rockworth.local - Computer ID = [Computer Name] - Username = [Administrator Domain] - Password = [Password Admin Domain] 4. ติ๊กโชว์ Advance ให้ติ๊กตรงส่วนของ Create Mobile Account ด้วย

Systems Preferences > Network > Enternet - IP Address = 10.10.11.xx - Subnet Mark = 255.255.255.0 - Router = 10.10.11.2 - DNS Server = 10.10.11.2 - Search Domain = rockworth.local

Systems Preferences > Sharing > ติ๊กถูก Personel File Sharing   แล้วเครื่องอื่นจะสามารถเข้ามาใช้งาน Disk ที่แชร์เอาไว้ได้ โดยที่เข้าที่ H/D ที่หน้าจอ แล้วมาทางด้านซ้ายไปที่ Network จะเห็นชื่อเครื่องที่เปิดแชร์เอาไว้ทั้งหมด อาจต้องหาปุ่ม Connect As เพื่อ Authentication ในการใช้งาน โดยปกติจะมีสิทธิ์เป็น Guest ทำให้เห็นเพียงแค่ Drop Box เท่านั้น

ทำการ Copy ไฟล์ไปไว้ที่เครื่องใหม่ได้เลย โดย Copy ดังนี้ เข้าไปที่ Hard Disk ของเครื่อง Mac แล้วหา Folder Mac >> Users >> XXX >> Library >> Mail Mac >> Users >> XXX >> Library >> Mail Downloads Mac >> Users >> XXX >> Library >> Preference >> com.apple.mail.plist

ให้ restart เครื่องแล้วกด C ค้างนานๆจะทำการ Boot จาก DVD แทน HardDisk

Mac OS X 10.5.4 AND Windows Vista 1. ให้ทำการติดตั้ง Mac OS X 10.5.4 ให้เรียบร้อยก่อน 2. เข้าไปที่ Mac OS X 10.5.4 แล้วไปที่ Application Folder 3. ไปทีโปรแกรม Boot Camp เลือกทำการแบ่ง Partition จาก H/D ที่ลง OS Mac ออกมาเพื่อทำการติดตั้ง Windows Vista 4. Restart เครื่อง และทำการใส่แผ่น Windows Vista ลงไป 5. ระบบจะเข้าสู่ Mode ในการลง Windows Vista ปกติ แล้วให้เลือก Partition ที่ทำการติดตั้ง Windows Vista โดยเลือก Partition ที่มีชื่อว่า Boot Camp โดยต้องทำการ Format Partition นี้ก่อนด้วย เนื่องจาก Windows ไม่รู้จัก Format ของ Mac 6. หลังจากที่ลง Windows เป็นที่เรียบร้อยแล้วก็ให้ใส่แผ่น Mac OS X 10.5.4 ลงไปที่เครื่อง แล้วระบบจะให้เราทำการติดตั้งโปรแกรมที่ชื่อว่า Boot Camp บน Windows พร้อมทั้งลง Driver ของเครื่องให้ทั้งหมด วิธีการเปลี่ยน OS ในการใช้งาน 1. ถ้าเข้าใช้งาน OS Mac อยู่ให้เข้าไปที่ System Preference แล้วไปที่ Startup Disk แล้วเลือก Windows OS แล้วเลือก Restart 2. ถ้าเข้าใช้งาน OS Windows อยู่ให้เข้าไปที่โปรแกรมที่ชื่อว่า Boot Camp แล้วเลือก Mac OS แล้วเลือก Restart

1. ให้ทำการตั้ง table นั้นๆให้มี Collation เป็น utf8_unicode_ci 2. ให้ทำการตั้ง columns นั้นๆให้มี Collation เป็น utf8_unicode_ci เช่นกันด้วย 3. การสร้างไฟล์ php ที่ใช้ในการแสดงผล   3.1 tag meta charset=utf-8   3.2 ให้ทำการ Save แล้วเลือก Encoding เป็น UTF-8

*** ให้ทำการเพิ่มผู้ใช้งานที่สามารถ Remote ได้ก่อนโดย 1. #mysql -u root -p 2. ใส่ Password of root 3. mysql> grant all on *.* to newuser@'%' identified by 'userpassword'; หมายถึง สร้างผู้ใช้งานใหม่ชื่อ newuser และ Password คือ userpassword ให้สามารถเข้าได้ทุกๆ host *** ติดตั้งโปรแกรมของ MySQL ของ Windows แล้วใช้ในการ Remote ได้เลยครับ

   โดยปกติแล้ว ใน MSSQL ไม่มี Function MD5 มาให้ ผมได้ลองค้นหาทาง Internet แล้ว ทำให้พบว่า เราต้องสร้าง การใช้ Function Hash MD5 ดังกล่าวด้วยตัว ซึ่งผมก็เจอ Project นึงใน CODE PROJECT ซึ่งเป็นการเขียน Function MD5 สำหรับ MSSQL เอาไว้เรียบร้อยแล้ว หลังจากลองทดสอบ และใช้งานแล้ว พบว่า มีความสามารถเหมือน MD5 ของ MySQL เลย จึงอยากเขียนเก็บไว้ให้คนอื่นที่มีความต้องการอย่างเดียวกัน เก็บไว้ใช้บ้างตอนแรกโหลดไฟล์ xp_md5_dll.zip แล้วแตกไฟล์ xp_md5.dll ไปที่ C:\Program Files\Microsoft SQL Server\MSSQL\Binn จากในไปที่ Query Analyzer แล้วพิมพ์ USE master; EXEC sp_addextendedproc ‘xp_md5′, ‘xp_md5.dll’ ก็คือการ เอา dll ไปใช้ใน mssql นั่นเอง จากนั้น ให้ไปสร้าง User Defined Function ด้วย Script นี้ ในแต่ละ DB ที่เราจะใช้ หรือ สร้างไว้ที่ Master แล้วอ้างอิงเรียกใช้ก็ได้ CREATE FUNCTION [dbo].[md5] (@DATA TEXT) RETURNS CHAR(32) AS BEGIN   DECLARE @hash CHAR(32)   EXEC master.dbo.xp_md5 @DATA, -1, @hash OUTPUT   RETURN @hash END เวลาเรียกใช้ก็เพียงแค่ SELECT dbo.md5('admin')

วิธีการคือ 1. ให้ทำการสร้าง Profiles ของอีเมลล์ที่ DatabaseMail บน SQL Server ก่อน 2. เขียน SQL ดังนี้ declare @body1 varchar(100) set @body1 = 'Server :'+@@servername+ ' My First Database Email ทดสอบภาษาไทยนะครับ' EXEC msdb.dbo.sp_send_dbmail @recipients='prompratan.n@rockworth.com', @subject = 'My Mail Test', @body = @body1, @body_format = 'HTML' ; *** ตรวจสอบ Mail Profile SELECT * FROM msdb.dbo.sysmail_profile SELECT * FROM msdb.dbo.sysmail_account *** ตรวจสอบ Log Mail SELECT * FROM msdb.dbo.sysmail_event_log Parameter : sp_send_dbmail [ [ @profile_name = ] 'profile_name' ] [ , [ @recipients = ] 'recipients [ ; ...n ]' ] [ , [ @copy_recipients = ] 'copy_recipient [ ; ...n ]' ] [ , [ @blind_copy_recipients = ] 'blind_copy_recipient [ ; ...n ]' ] [ , [ @subject = ] 'subject' ] [ , [ @body = ] 'body' ] [ , [ @body_format = ] 'body_format' ] [ , [ @importanc

1.เข้าไป set property ของ DB 2. หน้า Option ตรง Recovery เปลี่ยน Model ให้เป็น Simple จากนั้นก็ไปที่ All Task ==> Shrink Database จาก 100 Gb เหลือ 1M Credit : http://www.cansmile.com/webboard/index.php?topic=644.0

วิธีการดูว่า Column นี้ใน Table มีการเก็บข้อมูลแบบไหน sp_help กรณีที่ Collation ระหว่าง 2 table ไม่ตรงกันสามารถแก้ไขได้โดย - table > tbl_a.id มี collate เป็น Latin1_General_BIN - table > tbl_b.id มี collate เป็น Thai_CI_AS SELECT * FROM tbl_a LEFT OUTER JOIN tbl_b ON tbl_a.id COLLATE Thai_CI_AS = tbl_b.id

  Query select   cast(convert(int,substring(cast(clientip as varbinary(4)),1,1)) as varchar(3)) IP1,   cast(convert(int,substring(cast(clientip as varbinary(4)),2,1)) as varchar(3)) IP2,   cast(convert(int,substring(cast(clientip as varbinary(4)),3,1)) as varchar(3)) IP3,   cast(convert(int,substring(cast(clientip as varbinary(4)),4,1)) as varchar(3)) IP4,   ClientIP from ISALOG_20081214_WEB_000..WebProxyLog where not clientusername = 'anonymous' order by logtime Result IP1 IP2 IP3 IP4 ClientIP 10 10 20 6 168432646 10 10 20 140 168432780 10 10 20 137 168432777

SELECT empname FROM tbl_emp (INDEX(1)) WHERE empid=1 หมายถึง เป็นการกำหนดให้ Query นี้ใช้ Index ตัวที่ 1 ของตาราง tbl_emp โดยที่ไม่ทราบว่า Index ตัวนั้นมีโครางสร้างว่าอย่างไร ข้อดี :: สามารถบังคับให้ RDBMS ใช้ Index ตามที่เราต้องการในบางครั้ง RDBMS ใช้ Index ไม่ตรงตามความต้องการ กรณีที่มี Index คล้ายๆกันหลายๆตัว ข้อเสีย :: เมื่อมีการเปลี่ยนแปลง Index แล้วอยากทำให้เกิดการเรียกใช้งาน Index ที่ผิดพลาดได้

การแสดงข้อมูลต่างๆของไฟล์โดยใช้ Command Prompt Q01. การแสดงข้อมูลชื่อไฟล์ รวมทั้งพาทที่เก็บของไฟล์นั้นๆด้วย A01. dir /b /s ถ้าต้องการให้พิมพ์ออกเป็นไฟล์ต่อด้วย >c:\result.txt